tag:blogger.com,1999:blog-24241025847105699382024-03-13T09:23:54.520-07:00หัดเล่นกีต้าร์สำหรับคนที่ต้องการหัดเล่นแบบง่ายๆไปจนถึงแบบสุดๆกันไปเลยm mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.comBlogger18125tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-11887006283407409162012-01-18T03:52:00.001-08:002012-01-18T03:52:42.344-08:00องค์ประกอบของคอร์ด<div align="center" class="Topics style86">
<strong>บทที่ 3 องค์ประกอบของคอร์ด</strong> (1) </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
บทนี้มาพูดกันถึงเรื่องคอร์ดดีกว่าครับ เพื่อนๆคงจะเคยจับคอร์ด ตีคอร์ดกันมาบ้างแล้ว อยากทราบมั้ยครับว่า "คอร์ด" มีที่มาที่ไปอย่างไร ผมจะอธิบายให้ฟังดังนี้ครับ</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
คอร์ดคือการรวมกลุ่มของตัวโน๊ตตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไป โดยหลักๆแล้วจะแบ่งออกเป็น คอร์ดเมเจอร์(major)และคอร์ดไมเนอร์(minor)</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
เพื่อนๆลองหยิบหนังสือเพลงขึ้นมาดูประกอบสิครับ</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
ตัวอย่างเช่น คอร์ด C (เรียกเต็มว่า C เมเจอร์, เขียนเต็มๆว่า Cmaj (โดยปกติจะละ maj เอาไว้) </div>
<blockquote class="style25 style73 style72 style86">
<blockquote>
คอร์ด Am (อ่านว่า A ไมเนอร์ โดย m ย่อมาจาก minor)</blockquote>
</blockquote>
<div class="style3 style25 style73 style72 style86">
คอร์ดเมเจอร์ ประกอบด้วย โน๊ตตัวที่ 1,3,5</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
1,3,5 มาจากไหน? </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
ให้เอาโน๊ตตัว C ตั้งต้น แล้วไล่เสียงไปจนครบ 7 ตัวโน๊ต ดังนี้</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
C(1)---- D(2)---- <strong>E</strong>(3)--<strong>F</strong>(4)---- G(5)---- A(6)---- <strong>B</strong><span class="style3">(7)</span>--<strong>C</strong><span class="style3">(8)</span> </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
ตัวเลขในวงเล็บ หมายถึงตำแหน่ง จะสังเกตุเห็นว่าโน๊ตตำแหน่งที่ 3 กับ 4 และ 7 กับ 8 ห่างกันอยู่ครึ่งเสียง ที่เหลือห่างกัน 1 เสียงเต็ม<br />(อ้อ...จริงๆแล้ว โน๊ตตำแหน่งที่ 8 ก็คือตัวเดียวกับตัวที่ 1 นั่นแหล่ะครับ แต่เขียนไว้เพื่อให้เห็นชัดว่า 7 กับ 8 มันห่างกันครึ่งเสียงน่ะครับ) </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
ย้อนกลับไปที่ คอร์ดเมเจอร์ ประกอบด้วยโน๊ตตัวที่ 1,3,5 การที่จะทราบว่าตัวโน๊ต ตำแหน่งที่ 1,3,5 นั้นคือโน๊ตอะไร ก็ให้เอาตัว Root ตั้งต้น (ตัว Root หมายถึง ตัวโน๊ตที่เป็นชื่อคอร์ด เช่น Root ของคอร์ด C ก็คือ C , Root ของคอร์ด Am ก็คือ A)</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
Root ของคอร์ด Dm7 ก็คือ D โดยเราไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะติด m,7 หรือติดอะไรก็ตาม ให้ดูแค่ว่าชื่อคอร์ดเป็นตัวอักษรอะไรก็พอ<br />เอาล่ะครับ....ยกตัวอย่างเลยดีกว่า เดี๋ยวจะงงกันไปซะก่อน</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
<br /></div>
<div class="style72 style73 style25 style4 style86">
<strong>Ex.1 คอร์ด C </strong></div>
<div class="style4 style25 style73 style72 style86">
หาคอร์ด C ให้เอา C ตั้งต้นก็จะได้ </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
<span class="red"><strong>C(1)</strong></span>---- D(2)---- <span class="red"><strong>E(3)</strong></span>--F(4)---- <span class="red"><strong>G</strong></span>(<span class="red"><strong>5)</strong></span>---- A(6)---- B(7)--C(8)</div>
<div class="style25 style73 style72 style79">
1 = C </div>
<div class="style25 style73 style72 style79">
3 = E</div>
<div class="style25 style73 style72 style79">
5 = G </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
เพราะฉะนั้น คอร์ด C จึงประกอบด้วยโน๊ต 3 ตัว คือ <span class="style87"><strong><span style="color: blue;">C,E,G</span></strong></span> </div>
<div class="style72 style73 style25 style86">
<strong>Ex.2 คอร์ด G</strong></div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
หาคอร์ด G ก็ให้เอา G ตั้งต้นจะได้ว่า </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
<span class="red"><strong>G(1)</strong></span>---- A(2)----<strong><span class="red">B(3)</span>-</strong>-C(4)---- <span class="red"><strong>D(5)</strong></span>---- E(6)----F#(7)--G(8) </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
อย่าลืมนะครับ ว่าตำแหน่งที่ 3 กับ 4 ติดกัน (ส่วนตำแหน่งที่ 7 กับ 8 มันจะติดกันโดยอัตโนมัติอยู่แล้วครับถ้าเรียงมาถูกนะครับ)</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
1 = G</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
3 = B</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
5 = D </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
เพราะฉะนั้น คอร์ด G จึงประกอบด้วย <span class="style79"><strong><span style="color: blue;">G,B,D</span></strong></span></div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
ลองอีกสักตัวอย่างนะครับ</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
<strong><span class="style9">Ex.3 คอร์ด E</span></strong></div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
คอร์ด E ก้เอา E ตั้งต้นเช่นกัน </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
<span class="red"><strong>E(1)</strong></span>---- F#(2)----<span class="red"><strong>G#(3)</strong></span>--A(4)---- <span class="red"><strong>B(5)</strong></span>---- C#(6)----<strong>D#(7)--E(8)</strong> </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
1 = E</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
3 = G#</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
5 = B</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
เพราะฉะนั้น คอร์ด E จึงประกอบด้วย <span class="style79"><strong><span style="color: blue;">E,G#,B</span></strong></span></div>
<div class="style72 style73 style86">
*สรุปครับสรุป...หากเพื่อนๆอยากทราบองค์ประกอบของคอร์ดๆใดก็ตามให้เอา Root ของคอร์ดนั้นมาตั้งต้น แล้วเรียงลำดับตัวโน๊ตไปจนครบ 7 ตัว (...ถัดจากตัว G ก็คือ A นะครับ อย่าไปใส่ตัว H ล่ะ) โดยให้ยึดกฎที่ว่า 3 กับ 4 ติดกันก็เป็นอันใช้ได้ครับ ........ เฮ้อ จบลงซะทีบทนี้ บายครับ </div>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-71199855257560616832012-01-14T07:00:00.000-08:002012-01-14T07:00:23.117-08:00เพลง it gonna be ok<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/A2s4OKHezJI" width="420"></iframe><br />
<br />
<br />
ใครอยากให้ cover เพลงนี้บ้างm mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-91136765576268068212012-01-11T22:11:00.001-08:002012-01-11T22:11:36.900-08:00สอนเล่นหน่วง<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/MeDE1Qm2gY0" width="560"></iframe><br />
<br />
<br />
เครดิต <a href="http://www.youtube.com/watch?v=MeDE1Qm2gY0">http://www.youtube.com/watch?v=MeDE1Qm2gY0</a>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-58056559330021351422012-01-11T22:09:00.000-08:002012-01-11T22:09:03.069-08:00การเล่นกีต้าร์<strong>วิธีการหัดเล่นกีต้าร์<br /></strong>ในการหัดเล่นกีต้าร์นั้นเราจะต้องรู้พื้นฐานในการจับคอร์ดเสียก่อน<br /><br />ซึ่งจะจับคอร์ดได้นั้นตัองดูตามตารางคอร์ดกีต้าร์ดังนี้<br /><br /><br />บางคนอาจจะยังดูไม่เป็นสำหรับคนที่หัดเล่นใหม่ๆ แต่มัน<br /><br />ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแค่หยิบกีต้าร์ขึ้นมาแล้วใช้นิ้วกด<br /><br />ไปตามจุดที่อยู่บนเส้นกีต้าร์ตามรูปภาพ พอกดได้แล้วก็หมั่น<br /><br />ฝึกกดอยู่บ่อยๆเพื่อที่จะเกิดการเคยชินจนสาสารถเล่นได้ในที่สุด<br /><br /><br /><b>การหัดไล่ scale กีต้าร์</b><br /><br />ในการเล่นกีต้าร์นั้นนอกจากจะหัดจับคอร์ดแล้วนั้นที่สำคัญก็คือ<br /><br />การหัดไล่สเกลล์ซึ่งการไล่สเกลล์นั้นเป็นพื้นฐานในการลีดกีต้าร์<br /><br />ที่นักลีดกีต้าร์ทั้งหลายทำกันอยู่ก็มาจากการฝึกหัดไล่สเกลล์กัน<br /><br />ทั้งนั้น การไล่สเกลล์นั้นเป็นการไล่นิ้วลงไปบนตัวโน๊ตของกีต้าร์<br /><br />ซึ่งจะไล่แบบไหนนั้นก็แล้วแต่ผู้เล่นจะถนัดนั่นเองดังตัวอย่างตารางสเกลล์ <br />m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-47606622347691710222012-01-11T22:08:00.000-08:002012-01-11T22:08:31.878-08:00คอร์ดกีต้าร์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://farm5.static.flickr.com/4008/4327049671_93a8e77ded_o.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" kba="true" src="http://farm5.static.flickr.com/4008/4327049671_93a8e77ded_o.jpg" width="480" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-16691184324168024922012-01-11T22:06:00.001-08:002012-01-11T22:06:24.869-08:00มารู้จักกีต้าร์<span style="font-family: Microsoft Sans Serif;"><span style="color: #ff0080;"><u>1.1 <span style="font-size: small;"><a href="" name="กีตาร์คลาสสิก">กีตาร์คลาสสิก</a></span></u></span><span style="color: #804000; font-size: small;"> (Classic Guitar) ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของกีตาร์ในยุคปัจจุบันนั่นเองซึ่งมีลักษณะเด่นก็คือมีลูกบิดและแกนพันสายเป็นพลาสติก มีคอหรือฟิงเกอร์บอร์ดที่ใหญ่คือประมาณ 2 นิ้วลักษณะแบนราบ และใช้สายเอ็นหรือไนล่อน ส่วน 3 สายบน(สายเบส) จะทำด้วยไนล่อนหรือใยไหมแล้วพันด้วยเส้นโลหะเช่นเส้นทองแดงหรือบรอนซ์ ซึ่งทำให้มีความนุ่มมือเวลาเล่นไม่เจ็บเหมือน สายโลหะ จึงเหมาะกับคนที่อยากหัดกีตาร์แต่กลัวเจ็บนิ้ว </span></span><br />
<span style="color: #804000; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;"> กีตาร์อีกอย่างที่อยากกล่าวถึงในหัวข้อกีตาร์คลาสสิกคือ กีตาร์ ฟลาเมนโก (flamenco) ซึ่งมีโครงสร้างแทบจะเหมือนกับกีตาร์คลาสสิกทุกประการเนื่องจากได้มีการพัฒนามาจากกีตาร์คลาสสิกนั่นเอง จะต่างกันก็ที่ลำตัวจะบางกว่า และมีปิคการ์ดทั้งด้านบนล่างของโพรงเสียง และสไตล์การเล่นนั่นเองที่จะเป็นแบบสแปนนิสหรือแบบลาตินซึ่งจะมีจังหวะที่ค่อนข้างกระชับและสนุกสนาน</span><br />
<img align="left" alt="bigpic.jpg (8313 bytes)" height="332" src="http://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/guitar/ประเภทของกีตาร์_files/bigpic.jpg" width="144" /><span style="font-family: Microsoft Sans Serif;"><span style="font-size: small;"><span style="color: #804000;">ด้วยเหตุที่ใช้สายไนล่อนนั่นเองทำให้กีตาร์คลาสิกมีเสียงที่ไพเราะนุ่มนวลและคอที่กว้างทำให้ระยะระหว่างสายก็มากขึ้นไปด้วย ซึ่งทำให้การเล่นกีตาร์คลาสสิคนั้นจะสามารถเล่นได้ทั้งการ solo เล่น chord แล่ bass ได้นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิคลูกเล่นต่าง ๆ อีกมากมาย ทำให้การเล่นกีตาร์คลาสสิกนั้นมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ง่ายนักนะครับกว่าจะเล่นได้อย่างที่ว่า นอกจากจะได้ไปเรียนอย่างเป็นจริงเป็นจังกับโรงเรียนดนตรี</span></span><small><img align="left" alt="flamencoBfront.jpg (47292 bytes)" height="234" src="http://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/guitar/ประเภทของกีตาร์_files/flamencoBfront.gif" width="95" /><img align="left" alt="flamencoBback.jpg (43036 bytes)" height="234" src="http://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/guitar/ประเภทของกีตาร์_files/flamencoBback.gif" width="93" /><img align="left" alt="flamencoBside.jpg (38276 bytes)" height="233" src="http://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/guitar/ประเภทของกีตาร์_files/flamencoBside.gif" width="73" /></small></span><br />
<span style="font-family: Microsoft Sans Serif;"><span style="font-size: small;"><img align="left" height="131" hspace="12" src="http://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/guitar/ประเภทของกีตาร์_files/classAhead.gif" width="72" /></span><small><span style="color: #804000;"><img align="left" height="131" src="http://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/guitar/ประเภทของกีตาร์_files/brunerose.gif" width="148" /></span></small></span><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: large;"><img align="left" height="177" hspace="12" src="http://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/guitar/ประเภทของกีตาร์_files/twelvehole2.gif" width="81" /><img align="left" height="70" hspace="12" src="http://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/guitar/ประเภทของกีตาร์_files/twelvehole.gif" width="252" /></span><br />
<br />
<br />
<br />
<span style="color: #804000; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">ส่วนต่าง ๆ ของกีตาร์คลาสสิก</span><br />
<br />
<span style="color: #804000; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;"> </span><u><span style="color: #ff0080; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">1.2 </span><span style="color: #ff0080; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;"><a href="" name="กีตาร์โฟล์ค">กีตาร์โฟล์ค</a></span></u><span style="color: #804000; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;"> ถือว่าเป็นที่นิยมและรู้จักกันมากที่สุดเนื่องจากหาซื้อง่ายราคาไม่แพงจนเกินไป(ที่แพง ๆ ก็มีนะครับ) สามารถฝึกหัดได้ง่ายไม่ต้องรู้ถึงทฤษฎีดนตรีมากนัก ใช้เวลาไม่นานก็จะสามารถเล่นเพลงง่าย ๆ ฟังกันในหมู่เพื่อนฝูงได้แล้วแต่จริง ๆ กีตาร์โฟล์คมันมีอะไรมากกว่านั้น ลักษณะทั่ว ๆ ไปคือแกนหมุนและลูกบิดมักเป็นโลหะ คอหรือฟิงเกอร์บอร์ดเล็กกว่ากีตาร์คลาสสิกมีลักษณะโค้งเล็กน้อยรับกับนิ้วมือ แต่มีลำตัว (body) ที่ใหญ่และแข็งแรงกว่ากว่ากีตาร์คลาสสิก ใช้สายที่ทำจากโลหะ เนื่องจากคอกีตาร์ที่เล็กและสายที่เป็นโลหะกีตาร์ประเภทนี้จึงเหมาะกับการเล่นด้วยปิค (flat pick) หรือการเกา (finger picking) ซึ่งเสียงที่ได้จะดังชัดเจน สดใสกว่ากีตาร์คลาสสิก จึงเหมาะกับการเล่นกับดนตรีทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจเล่นเดี่ยวหรือเล่นเป็นวงก็ได้</span><br />
<span style="color: #804000; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;"> กีตาร์โฟล์คนั้นมีขนาดและรูปร่างต่าง ๆ กันไปบ้างตามแต่ละความต้องการใช้ประโยชน์ หรือตามแต่ละผู้ผลิตส่วนมากก็จะแบ่งได้เป็น standard folk กีตาร์, jumbo folk กีตาร์ flat top folk กีตาร์ นอกจากนี้ยังมีแบบพิเศษอีกประเภทคือ กีตาร์ 12 สาย(แถวบนขวาสุด) ซึ่งจะมีสายแบ่งเป็น 6 คู่ซึ่งเวลาเล่นก็เล่นเหมือนกีตาร์ทั่ว ๆ ไป เพียงแต่จะได้เสียงที่กังวานและแน่นขึ้น (และยังมีกีตาร์เบสโปร่งซึ่งมี 4 สายที่อยู่รูปล่างซ้ายสุด 2 ตัว ใช้เล่นเบสแต่ผมไม่ค่อยเห็นคนเล่นเท่าไรครับสำหรับเบสโปร่งประเภทนี้) อ้อมีอีกแบบหนึ่งมีรูปร่างคล้ายกีตาร์คลาสสิก แต่ใช้สายโลหะซึ่งเป็นกีตาร์ฝึกราคาค่อนข้างถูกเหมาะสำหรับผู้ที่อยากเล่นกีตาร์แต่ไม่แน่ใจว่าจะเอาจริงหรือเปล่าก็ลองซื้อมาหัดเล่นดูว่าไหวมั้ย</span><br />
<span style="font-family: Microsoft Sans Serif;"><span style="font-size: small;"><span style="color: #804000;"> </span></span><small><img alt="folk.jpg (208664 bytes)" height="437" src="http://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/guitar/ประเภทของกีตาร์_files/folk.gif" width="587" /></small></span><br />
<br />
<span style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;"><img align="left" height="206" hspace="12" src="http://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/guitar/ประเภทของกีตาร์_files/HbirdCustompg.gif" width="166" /><img align="left" height="150" hspace="12" src="http://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/guitar/ประเภทของกีตาร์_files/HbirdCustomhs.gif" width="141" /></span><br />
<br />
<div align="center">
<span style="color: #804000; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">แสดงกีตาร์โฟล์คแบบต่าง ๆ และส่วนต่าง ๆ โดยคร่าว ๆ</span></div>
<br />
<br />m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-4424695575018899262012-01-11T22:02:00.001-08:002012-01-11T22:02:14.206-08:00การตั้งสาย<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
ก่อนอื่น เราต้องทราบก่อนว่า สายกีต้าร์ตั้งแต่สายที่ 1 ถึง 6 นั้น เป็นเสียงเสียงโน๊ตตัวใดบ้าง กล่าวคือ </div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
สายที่ 1 = โน๊ตตัว E </div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
สายที่ 2 = โน๊ตตัว B</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
สายที่ 3 = โน๊ตตัว G</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
สายที่ 4 = โน๊ตตัว D</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
สายที่ 5 = โน๊ตตัว A</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
สายที่ 6 = โน๊ตตัว E </div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
ฉะนั้น เราจะต้องตั้งทีละสาย เริ่มจากสายที่ 1 (เสียง E) ให้กดคีย์บอร์ด ที่เสียง E (มี) สลับกับดีดสายกีต้าร์สายที่ 1 </div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
ให้ฟังเสียงดูว่าเสียงของสายกีต้าร์สายที่ 1 นั้น ต่ำหรือสูงกว่าเสียง E (มี) ในคีย์บอร์ด </div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
ถ้าต่ำกว่า ก็ให้หมุนลูกบิดในลักษณะ "ตามเข็มนาฬิกา"</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
ถ้าสูงกว่า ก็ให้หมุนลูกบิดในลักษณะ "ทวนเข็มนาฬิกา"</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
*** ในการหมุนลูกบิด ถ้าเสียงที่เทียบกันแตกต่างกันไม่มากให้หมุนลูกบิดทีละน้อยนะครับ แล้วฟังเสียงเทียบ<br />กันอีกซ้ำๆ และค่อยๆปรับจนกว่าเสียงจะเท่ากัน </div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
ในการตั้งสายครั้งแรกๆ อาจจะมีปัญหาในการฟังว่า เสียงที่เทียบกันนั้น มันเท่ารึยัง ใช้ได้รึยัง ผมก็เป็นคนนึง ครับ ที่มีปัญหาในการตั้งสายในช่วงแรก เพราะฟังไม่ค่อยออกว่ามันเท่ากันรึยัง ทำให้กว่าจะตั้งสายเสร็จก็ใช้เวลา<br />นานพอสมควร จนบางครั้งหงุดหงิดมาก กว่าจะได้เล่นตั้งสายนานเป็นชั่วโมงๆ แทบจะหมดอารมณ์เล่นไปเลย แต่พอฝึกบ่อยๆเข้าก็เริ่มฟังออกมากขึ้น เริ่มใช้เวลาในการตั้งสายน้อยลง จนในที่สุดสามารถตั้งสายได้ในเวลา อันสั้น ฉะนั้น ขอให้เพื่อนๆทุกคนที่เพิ่งเริ่มหัดตั้งสาย ก็อย่าละความพยายามนะครับ เพราะมันเป็นการฝึกหูที่ดี เยี่ยมอย่างนึงเลย เอาใจช่วยครับ </div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
2) <span style="font-weight: bold;">การตั้งสายจากหลอดเทียบเสียง</span></div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
โดยทั่วไปหลอดเทียบเสียงจะเป็นท่อพลาสติกหรือท่อโลหะเล็ก ๆ เรียงต่อกัน 6 ท่อ ซึ่งแต่ละท่อจะมีระดับเสียงตาม<br />สายกีตาร์ทั้ง 6 สาย เวลาจะตั้งสายคุณก็ดูช่องให้ตรงกับสายที่ต้องการตั้งเช่นสาย 5 โน๊ต A คุณก็ดูที่ท่อที่มีเขียนว่า A หรือสาย 5 แล้วก็เป่าหลอดเทียบเสียงพร้อมทั้งดีดสาย 5 สลับกันไปแล้วพยายามสังเกตเสียงของหลอดกับกีตาร์ ว่าระดับเดียวกั นหรือยัง สำหรับสายอื่นก็เช่นเดียวกัน</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
3) <strong>การตั้งสายกีตาร์ด้วยเครื่องตั้งสายกีตาร์ </strong></div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
เครื่องตั้งสายกีตาร์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการฟังระดับเสียงของกีตาร์เทียบกับหลอด<br />เทียบเสียงหรือ เทียบกับเครื่องดนตรีอื่น หลักการก็คือการใช้ความถี่ของโน๊ตแต่ละตัวของสายกีตาร์ซึ่งคงที ่ให้เครื่องเป็นตัวตรวจสอบความถี่ดังกล่าวบางรุ่นก็จะเป็นเข็มซ ึ่งจะกระดิกไปบนหน้าปัตท์ที่มีสเกลของโน๊ต<br />สายเปล่าสายต่าง ๆและรุ่นที่ใหม่ขึ้นมาจะเป็นระบบดิจิตอลที่แสดงค่าเป็นตัวโน๊ตห รือความถ ี่ซึ่งทำให้ง่าย ต่อการตั้งสายสำหรับมือใหม่อย่างมากแต่ ราคาค่อนข้างจะสูง การทำงานคร่าว ๆ คือ คุณต้องเลือกว่าจะตั้งสายใด<br />โดย ปรับค่าที่ตัวเครื่อง จากนั้นวางเครื่องใกล้ ๆ ตัวกีตาร์แล้วดีดสายดังกล่าว ปรับจนเข็มบนหน้าปัทย์อยู่ตรงกลาง<br />จึงถือว่าสมบูรณ์ สำหรับวิธีนี้ เป็นวิธีการตั้งสายที่ง่ายและรวดเร็ว แต่สิ่งที่เพื่อนๆจะไม่ได้ก็คือ การฝึกหู ซึ่งสำคัญ<br />อย่างยิ่งสำหรับนักดนตรี ฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้พยายามพึ่งพาเครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านี้ให้น้อยที่สุดนะครับ </div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
4) <strong>การตั้งสายกีต้าร์จากเพลง</strong></div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
การตั้งสายด้วยวิธีนี้จะต้องอาศัยความรู้ทางด้านทฤษฎีดนตรีและทักษะในการฟังพอสมควร โดยจะต้องจับเสียง ดนตรี (หรือเสียงร้องก็ได้) ว่าเป็นเสียงของโน๊ตตัวใด จากนั้นก็ตั้งสายกีต้าร์ให้ตรงตามเสียงนั้น เอาเป็นว่าถ้ามี เวลาจะอธิบายเพิ่มเติมละกันนะครับ </div>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-84902545263421736512012-01-11T22:00:00.000-08:002012-01-11T22:00:11.532-08:00บทที่ 3 องค์ประกอบของคอร์ด (1)<div align="center" class="Topics style86">
<strong>บทที่ 3 องค์ประกอบของคอร์ด</strong> (1) </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
บทนี้มาพูดกันถึงเรื่องคอร์ดดีกว่าครับ เพื่อนๆคงจะเคยจับคอร์ด ตีคอร์ดกันมาบ้างแล้ว อยากทราบมั้ยครับว่า "คอร์ด" มีที่มาที่ไปอย่างไร ผมจะอธิบายให้ฟังดังนี้ครับ</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
คอร์ดคือการรวมกลุ่มของตัวโน๊ตตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไป โดยหลักๆแล้วจะแบ่งออกเป็น คอร์ดเมเจอร์(major)และคอร์ดไมเนอร์(minor)</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
เพื่อนๆลองหยิบหนังสือเพลงขึ้นมาดูประกอบสิครับ</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
ตัวอย่างเช่น คอร์ด C (เรียกเต็มว่า C เมเจอร์, เขียนเต็มๆว่า Cmaj (โดยปกติจะละ maj เอาไว้) </div>
<blockquote class="style25 style73 style72 style86">
<blockquote>
คอร์ด Am (อ่านว่า A ไมเนอร์ โดย m ย่อมาจาก minor)</blockquote>
</blockquote>
<div class="style3 style25 style73 style72 style86">
คอร์ดเมเจอร์ ประกอบด้วย โน๊ตตัวที่ 1,3,5</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
1,3,5 มาจากไหน? </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
ให้เอาโน๊ตตัว C ตั้งต้น แล้วไล่เสียงไปจนครบ 7 ตัวโน๊ต ดังนี้</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
C(1)---- D(2)---- <strong>E</strong>(3)--<strong>F</strong>(4)---- G(5)---- A(6)---- <strong>B</strong><span class="style3">(7)</span>--<strong>C</strong><span class="style3">(8)</span> </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
ตัวเลขในวงเล็บ หมายถึงตำแหน่ง จะสังเกตุเห็นว่าโน๊ตตำแหน่งที่ 3 กับ 4 และ 7 กับ 8 ห่างกันอยู่ครึ่งเสียง ที่เหลือห่างกัน 1 เสียงเต็ม<br />(อ้อ...จริงๆแล้ว โน๊ตตำแหน่งที่ 8 ก็คือตัวเดียวกับตัวที่ 1 นั่นแหล่ะครับ แต่เขียนไว้เพื่อให้เห็นชัดว่า 7 กับ 8 มันห่างกันครึ่งเสียงน่ะครับ) </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
ย้อนกลับไปที่ คอร์ดเมเจอร์ ประกอบด้วยโน๊ตตัวที่ 1,3,5 การที่จะทราบว่าตัวโน๊ต ตำแหน่งที่ 1,3,5 นั้นคือโน๊ตอะไร ก็ให้เอาตัว Root ตั้งต้น (ตัว Root หมายถึง ตัวโน๊ตที่เป็นชื่อคอร์ด เช่น Root ของคอร์ด C ก็คือ C , Root ของคอร์ด Am ก็คือ A)</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
Root ของคอร์ด Dm7 ก็คือ D โดยเราไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะติด m,7 หรือติดอะไรก็ตาม ให้ดูแค่ว่าชื่อคอร์ดเป็นตัวอักษรอะไรก็พอ<br />เอาล่ะครับ....ยกตัวอย่างเลยดีกว่า เดี๋ยวจะงงกันไปซะก่อน</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
<br /></div>
<div class="style72 style73 style25 style4 style86">
<strong>Ex.1 คอร์ด C </strong></div>
<div class="style4 style25 style73 style72 style86">
หาคอร์ด C ให้เอา C ตั้งต้นก็จะได้ </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
<span class="red"><strong>C(1)</strong></span>---- D(2)---- <span class="red"><strong>E(3)</strong></span>--F(4)---- <span class="red"><strong>G</strong></span>(<span class="red"><strong>5)</strong></span>---- A(6)---- B(7)--C(8)</div>
<div class="style25 style73 style72 style79">
1 = C </div>
<div class="style25 style73 style72 style79">
3 = E</div>
<div class="style25 style73 style72 style79">
5 = G </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
เพราะฉะนั้น คอร์ด C จึงประกอบด้วยโน๊ต 3 ตัว คือ <span class="style87"><strong><span style="color: blue;">C,E,G</span></strong></span> </div>
<div class="style72 style73 style25 style86">
<strong>Ex.2 คอร์ด G</strong></div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
หาคอร์ด G ก็ให้เอา G ตั้งต้นจะได้ว่า </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
<span class="red"><strong>G(1)</strong></span>---- A(2)----<strong><span class="red">B(3)</span>-</strong>-C(4)---- <span class="red"><strong>D(5)</strong></span>---- E(6)----F#(7)--G(8) </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
อย่าลืมนะครับ ว่าตำแหน่งที่ 3 กับ 4 ติดกัน (ส่วนตำแหน่งที่ 7 กับ 8 มันจะติดกันโดยอัตโนมัติอยู่แล้วครับถ้าเรียงมาถูกนะครับ)</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
1 = G</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
3 = B</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
5 = D </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
เพราะฉะนั้น คอร์ด G จึงประกอบด้วย <span class="style79"><strong><span style="color: blue;">G,B,D</span></strong></span></div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
ลองอีกสักตัวอย่างนะครับ</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
<strong><span class="style9">Ex.3 คอร์ด E</span></strong></div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
คอร์ด E ก้เอา E ตั้งต้นเช่นกัน </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
<span class="red"><strong>E(1)</strong></span>---- F#(2)----<span class="red"><strong>G#(3)</strong></span>--A(4)---- <span class="red"><strong>B(5)</strong></span>---- C#(6)----<strong>D#(7)--E(8)</strong> </div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
1 = E</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
3 = G#</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
5 = B</div>
<div class="style25 style73 style72 style86">
เพราะฉะนั้น คอร์ด E จึงประกอบด้วย <span class="style79"><strong><span style="color: blue;">E,G#,B</span></strong></span></div>
<div class="style72 style73 style86">
*สรุปครับสรุป...หากเพื่อนๆอยากทราบองค์ประกอบของคอร์ดๆใดก็ตามให้เอา Root ของคอร์ดนั้นมาตั้งต้น แล้วเรียงลำดับตัวโน๊ตไปจนครบ 7 ตัว (...ถัดจากตัว G ก็คือ A นะครับ อย่าไปใส่ตัว H ล่ะ) โดยให้ยึดกฎที่ว่า 3 กับ 4 ติดกันก็เป็นอันใช้ได้ครับ ........ เฮ้อ จบลงซะทีบทนี้ บายครับ </div>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-55387285403133847502012-01-11T21:58:00.000-08:002012-01-11T21:58:09.292-08:00<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVzIdNoWqhy5hbX0mWF4aNXyX-oIayD4dMqYnjroL400zxlEM_FmJQWgP-E-hUbhHfLMWnuYXuwinFmx5e_4lo0ymw8Qm5p0n9hqrxsy4ST1oL5PqVB-U731BMNClqrUUR62cJSj_jc_g/s400/ALL+NOTE+ON" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="112" kba="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVzIdNoWqhy5hbX0mWF4aNXyX-oIayD4dMqYnjroL400zxlEM_FmJQWgP-E-hUbhHfLMWnuYXuwinFmx5e_4lo0ymw8Qm5p0n9hqrxsy4ST1oL5PqVB-U731BMNClqrUUR62cJSj_jc_g/s320/ALL+NOTE+ON" width="320" /></a></div>
<h3 class="post-title entry-title">
มารู้จักโน้ตบนคอกีต้าร์กันเถอะ </h3>
<div class="post-header">
<div class="post-header-line-1">
</div>
</div>
<div class="post-body entry-content" id="post-body-7016147069995568145">
<span style="color: black;"><span style="color: #330000; font-family: courier new; font-size: 180%;"><strong>Note On Fingerboard</strong></span><br /><span style="font-family: Courier New; font-size: 78%;"></span><br /><span style="font-family: courier new; font-size: 78%;">By Music Theory</span><br /></span><span style="font-family: courier new;">เรามารู้จักกันดีกว่าว่าบนคอกีต้าร์(Fingerboard)นั้น ในแต่ละเฟร็ต(Fret)มีโน้ตอะไรกันบ้าง<br />บนคอกีตาร์นั้น โน้ต 2 ตัว จะห่างกัน 1 เฟร็ต หรือ 1 ช่อง ซึ่งก็จะเท่ากับว่าห่างกัน ครึ่งเสียง (Half Tone) แต่ ถ้าห่างกัน 2 เฟร็ต หรือ 2 ช่อง ก็จะเท่ากับว่าห่างกัน หนึ่งเสียงเต็ม (Whole Tone) โดย เครื่องหมาย ชาร์ป (#) เป็นสัญลักษณ์ การเพิ่มเสียงตัวโน้ตขึ้นไปอีก ครึ่งเสียง </span><br /><span style="font-family: courier new;">และ เครื่องหมาย แฟลท (b) เป็น สัญลักษณ์ การลดเสียงตัวโน้ตลงไป ครึ่งเสียง<br />โดย โน้ตสากลนั้นมีทั้งหมด 7 เสียง คือ โด-C / เร-D / มี-E / ฟา-F / ซอล-G / ลา-A / ที-B / โด-C (สูงขึ้น 1 Octave) ถ้ารวมชาร์ปและแฟลท ก็จะได้ 12 เสียง ดังนี้ C / C#(Db) / D / D#(Eb) / E / F / F#(Gb) / G / G#(Ab) / A / A#(Bb) / B / C (สูงขึ้น 1 Octave) ซึ่งตำแหน่งต่างๆของโน้ตแต่ละตัว ดูได้จากภาพประกอบ</span><br /><br /></div>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-75010255928186740682012-01-11T02:24:00.000-08:002012-01-11T02:25:13.565-08:00สเกลเพลงร็อค<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/XUpL6SZkOo4" width="420"></iframe><br />
<br />
<br />
<br />
เครติด <a href="http://www.youtube.com/watch?v=XUpL6SZkOo4">http://www.youtube.com/watch?v=XUpL6SZkOo4</a>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-16623339759687752782012-01-07T06:14:00.000-08:002012-01-07T06:15:40.654-08:00สอน solo ปลายทาง - bodyslam By ปุ๋ย<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/bvxP4j4uR9M" width="420"></iframe><br />
<br />
<span class="hps" closure_uid_ugmdck="159" pc="null">Credit พี่ปุ๋ย <a href="http://www.youtube.com/watch?v=bvxP4j4uR9M">http://www.youtube.com/watch?v=bvxP4j4uR9M</a></span>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-50049890920504097912012-01-05T08:20:00.000-08:002012-01-05T08:31:34.491-08:00หัดตีคอร์ด<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/MAdM0DRx8Ek" width="420"></iframe><br />
<br />
<br />
สำหรับคนที่เบื่อจับคอร์ดธรรมดาแล้วมาหัดตีคอร์ดกันดีกว่า<br />
<br />
ขอบคุนวิดีโอจาก YOUTUBE คับ <a href="http://www.youtube.com/watch?v=MAdM0DRx8Ek">http://www.youtube.com/watch?v=MAdM0DRx8Ek</a>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-73184531871673128332012-01-05T08:13:00.000-08:002012-01-05T08:14:40.204-08:00มาแล้วคับสอนจับคอร์ด D<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/yh6sPqDEZCY" width="560"></iframe><br />
<br />
<br />
ขอบคุณ vdo ดีๆๆจาก YOUTUBE คับ ^^"m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-67075871780304265462012-01-03T00:09:00.000-08:002012-01-03T00:09:08.489-08:00การอ่านแทป การอ่านแท็บ (Tablature) <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.folkpeople.com/guitarlesson/pic/read_tab.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="100" rea="true" src="http://www.folkpeople.com/guitarlesson/pic/read_tab.gif" width="320" /></a></div>
การอ่านแท็บ <br />
การอ่านแท็บสายกีต้าร์จะแทนด้วยเส้นทั้งหมด 6 เส้น เส้นบนสุดคือสาย 1 ของกีต้าร์ไล่ลงมาเป็นสาย 2 – 3 – 4 – 5 ถึงเส้นสุดท้ายคือสาย 6 โดยตัวเลขที่อยู่บนแท็บจะหมายถึงตำแหน่งที่ต้องกดว่าจะต้องกดที่ช่องใดบนฟิงเกอร์บอร์ด ของสายนั้นๆ( เลข “0” หมายถึง การดีดสายเปล่า ) และถ้าตัวเลขที่อยู่บนเส้นอยู่ในตำแหน่งเดียวกันในแนวตั้งดังรูปด้านบนก็ให้ดีดพร้อมกัน ยกตัวอย่างถ้าตรงกัน 2 สองสายก็ดีดพร้อมกันแค่สองสาย ถ้าตรงกันทั้งหมด 6 สายก็ให้ดีดพร้อมกันทั้ง 6 สาย เช่น ตัวอย่าง TAB ด้านบน ตัวเลขด้านขวามือสุด เป็นการจับคอร์ด G แล้วดีดพร้อมกันทั้ง 6 สาย (โดยมากแล้วถ้าตัวเลขอยู่ในแนวเดียวกันตั้งแต่ 3 ตำแหน่งขึ้นไปจะเป็นการจับคอร์ด ) เช่นรูปด้านบน เป็นการจับคอร์ด G จาก TAB ด้านบน การเล่นทั้งหมดคือ ( ดีดสายเปล่าสาย 6 --> ตามด้วยดีดสาย 6 ช่อง 2 --> ดีดสาย 6 ช่อง 3 --> และดีดคอร์ด G ) จะมีการดีดทั้งหมด 4 ครั้ง <br />
<br /><br /><br />
<h3>
สัญลักษณ์เบื้องต้นที่ใช้ใน TAB </h3>
<br />
<table border="0" cellpadding="0" style="width: 652px;"><tbody>
<tr><td valign="top" width="57%"><ul type="disc">
<li>h = hammer on </li>
<li>p = pull off </li>
<li>b = bend string up (ดันสายขึ้น) </li>
<li>r = release bend (ดันสายค้างไว้ ดีดแล้วจึงผ่อนสายลง) </li>
<li>/ = slide up (สไลด์ขึ้น) </li>
<li>\ = slide down (สไลด์ลง) </li>
<li>s = legato slide (การสไลด์ไปยังโน๊ตตัวอื่นโดยไม่ต้องดีดซ้ำ) </li>
<li>v, ~ = vibrato (ทำเสียงสั่น) </li>
<li>tr = trill (การรัวนิ้ว) </li>
<li>T = tap (การเล่น Tabping) </li>
<li>x = on rhythm muted slash (การให้จังหวะโดยทำเสียงบอด) </li>
</ul>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
เครดิด <a href="http://www.folkpeople.com/">http://www.folkpeople.com/</a>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-9813294901999276362012-01-03T00:02:00.000-08:002012-01-05T07:49:36.375-08:00การฝึกนิ้วแบบ Symmetrical<br />
<a href="http://www.folkpeople.com/guitarlesson/pic/lessonsymmetrica.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="161" rea="true" src="http://www.folkpeople.com/guitarlesson/pic/lessonsymmetrica.gif" width="640" /></a><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
แบบ ฝึกง่ายๆคับ</div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.folkpeople.com/guitarlesson/pic/lessonsymmetrica2.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="163" rea="true" src="http://www.folkpeople.com/guitarlesson/pic/lessonsymmetrica2.gif" width="640" /></a></div>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-38869432707006065232012-01-01T21:21:00.000-08:002012-01-02T23:41:54.652-08:00บทที่ 1 พื้นฐานความรู้เรื่องโน๊ต<div align="center" class="Topics style86">
บทที่ 1 พื้นฐานความรู้เรื่องโน๊ต </div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
เมื่อพูดถึงทฤษฎีดนตรี หรืออะไรก็ตามที่ขึ้นต้นว่า “ทฤษฎี” ผู้เรียนก็คงจะท้อกันตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว บางคนเล่นกีต้าร์ มาเป็นปีแต่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับทฤษฎี ถามว่าเล่นได้ไหม..... เล่นได้ครับ แต่แค่พอเล่นได้เท่านั้น เล่นไป ร้องไป<br />
ตีคอร์ดได้ อาจจะเกาเป็นแพทเทิลได้บ้าง แต่จะให้เก่งอย่าง คงเป็นไปไม่ได้แน่ ฉะนั้น ผมบอกได้เลยครับว่า หากเพื่อนๆสนใจอยากเล่นกีต้าร์อย่างจริงๆจังๆ แล้ว ก็คงหนีไม่พ้นทฤษฎีดนตรีแน่นอน แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอก<br />
เพื่อนๆก็คือ ทฤษฎีดนตรี ไม่ใช่ของยากอะไรเลย หากเราค่อยๆทำความเข้าใจมันตั้งแต่ชั่วโมงแรก ศึกษาไปทีละนิด<br />
ละหน่อย ความรู้จะถูกเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆแบบไม่รู้ตัว และความได้เปรียบของคนที่มีความรู้ด้านทฤษฎีดนตรี คือ ไม่ว่าจะอยากเล่นเครื่องดนตรีชิ้นไหน ก็เริ่มเล่นได้ไม่ยาก แค่เรียนรู้ธรรมชาติของเครื่องดนตรีชนิดนั้นๆในเบื้อง<br />
ต้น ประกอบกับการฝึกฝนและนำเอาความรู้ทางทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ ก็ทำให้เราเพลิดเพลินกับเครื่องดนตรีแต่ละ<br />
ชนิดได้ในเวลาอันสั้น ครับเกริ่นมาถึงตรงนี้แล้ว หวังว่าเพื่อนๆคงจะมีกำลังใจที่จะศึกษาทฤษฎีดนตรีกันบ้างแล้ว<br />
นะครับ ไม่พูดพล่ามทำเพลง มาเริ่มกันเลยดีกว่า</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
<br /></div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
<br /></div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
ตัวโน๊ตทั้งหมด ตามที่เราคุ้นเคยคือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด ซึ่งโน้ตแต่ละตัวจะถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งโดยนำเอา<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://394959.net/bin/Keyboard.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="128" rea="true" src="http://394959.net/bin/Keyboard.jpg" width="320" /></a></div>
ตัวอักษรภาษาอังกฤษมาตั้ง ดังนี้</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
C = โด </div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
D = เร</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
E = มี</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
F = ฟา</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
G = ซอล</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
A = ลา</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
B = ที</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
อันนี้เป็นความรู้พื้นฐานที่เพื่อนๆต้องจำนะครับ ซึ่งวิธีจำก็ไม่ยากอะไรเลย แค่เอาตัว C ขึ้นต้น และไล่เสียงไปเรื่อยๆ<br />
ตามตัวอักษร C D E F G และวนกลับมาที่ A B ก็เป็นอันครบ</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
อันที่จริงแล้ว ยังมีเสียงที่นอกเหนือจากนี้อีก ซึ่งจะอธิบายได้ง่ายจากคีย์บอร์ด ดังนี้ครับ</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
<br />
เพื่อนๆจะสังเกตุเห็นว่ามีโน๊ตอยู่ 2 คู่ ที่ไม่มีตัวขั้นกลาง นั่นก็คือ E กับ F และ B กับ C ทำไมถึงเป็นเช่นนี้นะเหรอ<br />
ครับ กระผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาจากผู้ที่คิดค้นทฤษฎีดนตรีในยุคแรกน่ะครับ คล้ายๆกับสูตรทางคณิตศาสตร์แหล่ะครับ เราเองเป็นผู้ศึกษาต่อจากสิ่งที่ผู้อื่นเค้าศึกษากันมาอย่างหนักหน่วง เรา แค่เอาสูตรที่เค้าคิดเอาไว้อย่างดีแล้วมาใช้แค่นั้นเอง<br />
มาถึงตรงนี้สิ่งที่เพื่อนๆต้องจำเพิ่มขึ้นมานั่นก็คือ E กับ F ติดกัน และ B กับ C ติดกัน อ้อ ผมลืมบอกไป<br />
ครับ จาก C ไป D นั้น ห่างกัน 1 เสียงเต็ม (ทำไมถึงห่าง 1 เสียงเต็ม ?............. ก็เพราะมันมีตัวคั่นคือ C# หรือ Db <br />
นั่นแหล่ะครับ ส่วน E กับ F ห่างกัน ครึ่งเสียง เพราะไม่มีตัวคั่น และ B กับ C ก็ห่างกันครึ่งเสียงทีนี้เพื่อนๆ<br />
คงทราบแล้วนะครับว่า โน๊ตคู่ไหนห่างกัน 1 เสียงเต็มบ้าง โน๊ตคู่ไหนห่างกันครึ่งเสียงบ้าง</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
<br /></div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
</div>
C สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = C# C ลดลงครึ่งเสียง = B<br />
D สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = D# D ลดลงครึ่งเสียง = Db<br />
E สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = F E ลดลงครึ่งเสียง = Eb<br />
F สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = F# F ลดลงครึ่งเสียง = E<br />
G สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = G# G ลดลงครึ่งเสียง = Gb<br />
A สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = A# A ลดลงครึ่งเสียง = Ab<br />
B สูงขึ้นไปครึ่งเสียง = C B ลดลงครึ่งเสียง = Bb <br />
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
จะสังเกตได้ว่า มีเสียงที่เท่ากันอยู่ดังนี้</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
C# = Db</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
D# = Eb</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
F# = Gb</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
G# = Ab</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
A# = Bb</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
เอ....... ในเมื่อมันเป็นเสียงเดียวกัน ทำไมไม่เรียกอันใดอันนึงไปเลย ทำให้สับสนทำไมก็ไม่รู้........นั่นนะสิครับ <br />
แต่จริงๆแล้ว มันขึ้นอยู่กับแต่ละบทเพลงมากกว่า คือถ้าเพลงนั้นๆมีโน้ตที่ติดชาร์ฟ (#) ก็จะติดชาร์ฟทั้งเพลง หรือ <br />
เพลงไหน ทีมีโน้ตติดแฟลต (b) ก็จะแฟลตมันทั้งเพลง คงไม่มีใส่โน้ตที่ติดชาร์ฟ และแฟลต ไว้ในเพลงเดียวกัน<br />
หรอกครับ</div>
<div align="left" class="style25 style73 style72 style86">
เป็นไงครับ พอเข้าใจกันบ้างรึเปล่า เอาเป็นว่าขอจบบทแรกไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ถ้ามีเวลาว่างจะเข้ามาเพิ่มบท<br />
เรียนให้เรื่อยๆนะครับ ขอให้สนุกกับการเรียนทฤษฎีนะครับ</div>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-27720934355841575712012-01-01T21:17:00.001-08:002012-01-02T23:44:14.216-08:00ทฤษฎีดนตรี<div align="center" class="Topics">
ทฤษฎีดนตรี</div>
<div align="left" class="content">
ผมแบ่งความรู้ทางทฤษฎีออกเป็นบทๆไปนะครับ สำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่มีความรู้เรื่องทฤษฎีมาก่อน แนะนำว่าให้<br />
เริ่มศึกษาตั้งแต่บทแรกนะครับ แล้วค่อยๆก้าวไปทีละบท ถ้าลัดไปบทอื่นเลยจะไม่เข้าใจนะครับ ผมพยายามอธิบาย<br />
ทฤษฎีดนตรีแบบให้เข้าใจได้ง่ายๆ ละเอียดทุกเม็ด เพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษาไม่งง สนุกที่จะเรียน ซึ่งมันจะทำให้เกิด<br />
ความรู้สึกที่ดีต่อการเรียนดนตรีโดยเฉพาะในเรื่องทฤษฎี ที่แค่ได้ยินชื่อก็แทบจะไม่อยากเรียนแล้ว ซึ่งผมจะเข้า<br />
มา Update บทเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนะครับ หวังว่าผมจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณเข้าใจทฤษฎีดนตรีมากขึ้นนะครับ<br />
พร้อมแล้วก็.......ลุยกันเลย <a href="http://m-mahatang.blogspot.com/2012/01/1.html">http://m-mahatang.blogspot.com/2012/01/1.html</a></div>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2424102584710569938.post-80503664107470385002012-01-01T21:13:00.000-08:002012-01-03T07:10:34.523-08:00ประวัติความเป็นมาของกีตาร์<span style="color: #ff00cc; font-family: MS Sans Serif;"><big><big><big><span style="font-size: large;"><strong>ก่อนขอแนะนำก่อน</strong><span style="font-size: small;"><span style="color: purple;"> </span><span style="color: #9900ff;">กีตาร์ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์เพียงแต่ชื่อเรียกและรูปร่างย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัย ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเปอร์เซียและตะวันออกกลางหลายประเทศต่อมาได้เผยแพร่ไปยังกรุงโรมโดยชาวโรมันหรือชาวมัวร์ จากนั้นก็เริ่มได้รับความนิยมในสเปน ในยุโรปกีตาร์มักเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง และมีเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ที่ให้ความสนใจและศึกษาอย่างเช่น Queen Elizabeth I ซึ่งโปรดกับ Lute </span><span style="color: #9900ff; font-family: MS Sans Serif;">l</span><span style="color: #9900ff;"><span style="font-family: MS Sans Serif;">ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของกีตาร์ก็ว่าได้ แต่การพัฒนาที่แท้จริงนั้นได้เกิดจากการที่นักดนตรีได้นำมันไปแสดงหรือเล่นร่วมกับวงดนตรีของประชาชนทั่ว ๆ ไปทำให้มีการเผยแพร่ไปยังระดับประชาชนจนได้มีการนำไปผสมผสานเข้ากับเพลงพื้นบ้านทั่ว ๆ ไปและเกิดแนวดนตรีในแบบต่าง ๆ มากขึ้น</span></span></span></span></big></big></big></span><br />
<strong><span style="color: #9900ff; font-family: MS Sans Serif;"> ผู้หนึ่งที่สมควรจะกล่าวถึงเมื่อพูดถึงประวัติของกีตาร์ก็คือ Fernando Sor ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อวงการกีตาร์เป็นอันมากเนื่องจาการอุทิศตนให้กับการพัฒนารูปแบบการเล่นกีตาร์เทคนิคต่าง ๆ และได้แต่งตำราไว้มากมาย ในปี 1813 เขาเดินทางไปยังปารีตซึ่งเขาได้รับความสำเร็จและความนิยมอย่างมาก จากนั้นก็ได้เดินทางไปยังลอนดอนโดยพระราชูปถัมป์ของ Duke of Sussex และที่นั่นการแสดงของเขาทำให้กีตาร์เริ่มได้รับความนิยม จากอังกฤษเขาได้เดินทางไปยังปรัสเซีย รัสเซียและได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งที่นั่นเขาได้แต่งเพลงที่มีความสำคัญอย่างมากเพลงหนึ่งถวายแก่พระเจ้า Nicolus I จากนั้นเขาก็ได้กลับมายังปารีตจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี 1839</span> <span style="color: #9900ff; font-family: MS Sans Serif;">หลังจากนั้นได้มีการเรียนีการสอนทฤษฎีกีตาร์ที่เด่นชัดและสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้กีตาร์ได้รับการพัฒนาอย่างมาก หลังจากนั้นมีอีกผู้หนึ่งที่มีความสำคัญต่อกีตาร์เช่นกันคือ Francisco Tarrega (1854-1909) ซึ่งเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่ด้วยความสามารถด้านดนตรีของเขาก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนได้จากการแสดง ณ Alhambra Theater จากนั้นเขาได้เดินทางไปยัง Valencia, Lyons และ Paris เขาได้รับการยกย่องว่าได้รวมเอาคุณสมบัติของเครื่องดนตรี 3 ชนิดมารวมกันคือ ไวโอลิน, เปียโน และ รวมเข้ากับเสียงของกีตาร์ได้อย่างไพเราะกลมกลืน ทุกคนที่ได้ฟังเขาเล่นต่างบอกว่าเขาเล่นได้อย่างมีเอกลักษณ์และสำเนียงที่มีความไพเราะน่าทึ่ง หลังจากเขาประสบความสำเร็จใน London, Brussels, Berne และ Rome เขาก็ได้เดินทางกลับบ้านและได้เริ่มอุทิศตนให้กับการแต่งเพลงและสอนกีตาร์อย่างจริงจัง ซึ่งนักกีตาร์ในรุ่นหลัง ๆ ได้ยกย่องว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มการสอนกีตาร์ยุคใหม่</span></strong><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://img81.imageshack.us/img81/7726/img0454nu5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" rea="true" src="http://img81.imageshack.us/img81/7726/img0454nu5.jpg" width="320" /></a></div>
<span style="color: #9900ff; font-family: MS Sans Serif;"><strong> อีกคนหนึ่งที่จะขาดไม่ได้คือ Andres Sergovia ผู้ซึ่งเดินทางแสดงและเผยแพร่กีตาร์มาแล้วเกือบทั่วโลกเพื่อให้คนได้รู้จักกีตาร์มากขึ้น (แต่คงไม่ได้มาเมืองไทยน่ะครับ) ทั้งการแสดงเดี่ยวหรือเล่นกับวงออเคสตร้า จนเป็นแรงบันดาลใจให้มีการแต่งตำราและบทเพลงของกีตาร์ขึ้นมาอีกมากมาย อันเนื่องมาจากการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องกีตาร์อย่างเปิดเผยและจริงจังของเขาผู้นี้ นอกจากนี้ผลงานต่าง ๆ ของเขาได้ทำให้ประวัติศาสตร์กีตาร์เปลี่ยนหน้าใหม่เพราะทำให้นักีตาร์ได้มีโอกาสแสดงใน concert hall มากขึ้น และทำให้เกิดครูและหลักสูตรกีตาร์ขึ้นในโรงเรียนดนตรีอีกด้วย</strong></span><br />
<br />
<br />
<br />
<strong><span style="color: #9900ff; font-family: MS Sans Serif;">คนที่เล่นเป็นแล้วอยากได้แทปเชิญทางนี้คับ <a href="http://kon-ruk-tab.blogspot.com/">http://kon-ruk-tab.blogspot.com/</a></span></strong>m mahatanghttp://www.blogger.com/profile/11177305965409342353noreply@blogger.com0